🍄🍄🍄องค์การ (Organization)
เป็นคำนิยามของการรวมตัวกันอย่างเป็นระบบ หรือบางที่ให้คำจำกัดความว่า เป็นการจัดการที่มีการร่วมมือและประสานงานกัน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างที่ตั้งไว้ โดยมีการใช้อำนาจการบริหารที่ชัดเจนมีการแบ่งงานและหน้าที่ มีลำดับขั้นของการบังคับบัญชาและความรับผิดชอบ
เป็นคำนิยามของการรวมตัวกันอย่างเป็นระบบ หรือบางที่ให้คำจำกัดความว่า เป็นการจัดการที่มีการร่วมมือและประสานงานกัน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างที่ตั้งไว้ โดยมีการใช้อำนาจการบริหารที่ชัดเจนมีการแบ่งงานและหน้าที่ มีลำดับขั้นของการบังคับบัญชาและความรับผิดชอบ
การจะทำความเข้าใจคำว่าองค์การนั้น
ถ้าดูที่การแบ่งประเภทขององค์การจะทำให้เข้าใจดีขึ้น เช่น
องค์การทางสังคม ครอบครัว
สถาบันการศึกษาทุกระดับ โรงเรียน มหาวิทยาลัย
สถาบันศาสนา วัด ศูนย์ปฏิบัติธรรม สถาบัน กลุ่ม ชมรม มูลนิธิ ฯลฯ
ที่ตั้งขึ้นเพื่อกิจการเฉพาะอย่างแต่มุ่งประโยชน์ในระดับสังคม
1. องค์การทางราชการ
ทุกระบบที่เป็นส่วนราชการ ระดับกระทรวง ทบวง กรม
2. องค์การเอกชน เช่น
บริษัทห้างร้านที่ตั้งขึ้นมาด้วยรูปแบบต่างๆ เพื่อมุ่งหากำไรเป็นสำคัญ
ลักษณะขององค์การทางธุรกิจนั้น แบ่งได้เป็น
2.1
องค์การที่มีเจ้าของคนเดียวจัดระบบการทำงานโดยมีลูกน้องมาร่วมมือกันทำงานเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จ
และในปัจจุบันธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียวแพร่หลายมากขึ้นเนื่องจากมีช่องทางการตลาดแบบออนไลน์
2.2 ห้างหุ้นส่วนสามัญ ผู้ร่วมเป็นหุ้นส่วนในองค์การประเภทนี้จะต้องร่วมรับผิดชอบในองค์การร่วมกันในทุกเรื่องทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน
2.3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด
องค์การธุรกิจประเภทนี้มีความต่างจากห้างหุ้นส่วนสามัญตรงที่
เฉพาะหุ้นส่วนเฉพาะบางคนเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบไม่จำกัด
ผู้ถือหุ้นนอกนั้นรับผิดชอบ “จำกัด” ตามจำนวนหุ้นที่ตัวเองถือครอง
2.4 บริษัทจำกัด เป็นองค์การทางธุรกิจ ที่จัดตั้งขึ้น
แล้วแบ่งทุนเป็นหุ้น
ผู้ถือหุ้นมีความรับผิดชอบจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินหุ้นที่ตนถือเท่านั้น
🍄🍄🍄การจัดโครงสร้างองค์การ
ในการทํางานในองค์การที่ต้องมีการตัดสินใจว่าจะรายงานเรื่องราวต่างๆ
กับใคร วิธีหนึ่งของการจัดโครงสร้างองค์การและการสร้างสรรค์องค์การ คือ
การจัดผังแสดงโครงสร้างองค์การ(Organization
Chart) ซึ่งเป็นการจัดผังที่แสดงตําแหน่งต่างๆ ทั้งหมดในองค์การและความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่แต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งแสดงตําแหน่งต่างๆ ที่เชื่อมโยงกันทั้งแนวตั้งและแนวนอนอย่างมีระบบเพื่อง่ายแก่การบริหาร
🍄🍄🍄 รูปแบบของโครงสร้างองค์การ
โครงสร้างองค์การเป็นแบบแผนที่กําหนดขอบเขตของงานและความสัมพันธ์ของอํานาจหน้าที่
1. โครงสร้างองค์การระบบราชการ (Bureaucratic
Structure) เป็นลักษณะโครงสร้างองค์การซึ่งมีความซับซ้อนสูง
มีความเป็นทางการสูง เป็นระบบการจัดการโดยถือเกณฑ์โครงสร้างงานที่เป็นทางการของอํานาจหน้าที่ซึ่งกําหนดไว้อย่างเคร่งครัดมีการติดตามการทํางานอย่างรัดกุม
ทําให้โครงสร้างองค์การแบบนี้บางครั้งขาดความยืดหยุ่นเพราะมีขั้นตอนมากและแจทําให้เกิดความล่าช้าในการทํางาน
2. โครงสร้างองค์การแบบมีชีวิต (Organic
Structure) เป็นโครงสร้างองค์การที่มีความเป็นอิสระ คล่องตัว มีกฎเกณฑ์และข้อบังคับเล็กน้อย
มีความเป็นทางการน้อยกว่าระบบราชการสามารถยืดหยุ่นได้ มีการส่งเสริมการทํางานเป็นทีมและมีการกระจายอํานาจการตัดสินใจให้แก่พนักงานผู้ปฏิบัติตาม
3. โครงสร้างองค์การแบบแมทริกซ์(Matrix
Structure) มีการพัฒนาแรกเริ่มจากการมีเป้าหมายของความสําเร็จตามโครงการโครงสร้างของงานในโครงการมีการมอบหมายให้กับผู้ชํานาญการจากแผนกงานที่มีหน้าที่ไปปฏิบัติในหนึ่งโครงการหรือมากกว่าหนึ่งโครงการ
4. โครงสร้างองค์การแบบงานหลัก (Line or
Hierarchy OrganizationStructure) คือ แต่ละหน่วยงานมีการกําหนดการสั่งการและการควบคุมผ่านสายบังคับบัญชาตามลําดับชั้นจากผู้บริหารระดับสูงไปยัผู้ใต้บังคับบัญชาอันดับรองลงมาซึ่งเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยจะรับคําสั่งคําแนะนําและรายงานต่อผู้บังคับบัญชาคนเดียว
5. โครงสร้างองค์กรแบบงานหลักและงานที่ปรึกษา (Line andStaff Organization Structure) การจัดโครงสร้างขององค์กรนี้จะมีหน่วยงานที่ปรึกษาเข้ามา
เพื่อช่วยศึกษาค้นคว้าให้คําแนะนําให้บริการและแก้ปัญหาต่างๆ ให้หน่วยงานหลัก
หน่วยงานที่ปรึกษานี้จะเป็ นอิสระขึ้นตรงกับผู้บริหารในฝ่ายหรือแผนกนั้นๆ
6. การจัดองค์การตามโครงงาน (Project
Structures) คือโครงสร้างที่เกิดขึ้นเมื่อมีโครงงานหรือปัญหาใหม่เข้ามา
ผู้บริหารจะตั้งทีมงานขึ้นเป็ นกลุ่มเพื่อจัดการกับโครงงานดังกล่าวและเมื่อโครงการนั่นสิ้นสุดหน่วยงานนั้นๆจะถูกยุบลงไปด้วย
เพราะฉะนั้น
การที่หลายคนมารวมตัวกันเป็นกลุ่มแล้วทำภารกิจอะไรสักอย่างร่วมกัน
ยังไม่ถือว่าเป็นองค์กร เพราะ “องค์กร” จะต้องเป็นส่วนย่อยของ “องค์การ” และมีหน้าที่เฉพาะของตน
“องค์การ” มีหน้าที่เอา “องค์กร” ต่างๆ
ที่มีหน้าที่แตกต่างกันนั้นมารวมเข้าด้วยกัน
และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรต่างๆ
ให้สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ร่วมกันได้อย่างเป็นระเบียบ คล้ายๆ
กับเครื่องจักรนาฬิกาแต่ละชิ้นที่มีหน้าที่ต่างๆ เหมือนกับ “องค์กร”
และเมื่อนำเอาเครื่องจักรแต่ละชิ้นมาประกอบกัน
มันก็จะทำให้นาฬิกานั้นเดินไปได้อย่างมีระเบียบเป็น “องค์การ”
และหน่วยงานที่จะถือว่าเป็น “องค์การ” ได้
จะต้องมีการจัดระเบียบงานถูกต้องตามกระบวนการดังกล่าวมาแล้วเท่านั้น
ซึ่งทุกวันนี้มีการนำคำว่า “องค์กร” ไปใช้ในความหมายของ “องค์การ”
อย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น บริษัท โรงงาน สำนักงาน ส่วนราชการ มูลนิธิ วัด ฯลฯ
แต่ความจริงตามแนวความคิดทางวิชาการ โดยเฉพาะทางสังคมวิทยา
องค์การจะมีความหมายที่กว้างกว่านั้น แต่ในด้านสังคมวิทยาถือว่า องค์การมีอยู่ 2
ระดับคือ
ระดับต้นหรือองค์การปฐมภูมิ (primary
organization)
ระดับสองหรือองค์การทุติยภูมิ (secondary
organization)
องค์การระดับต้นเกิดขึ้นในสังคมโดยอัตโนมัติ เช่นครอบครัว ประชาคม
กล่มมิตรสหาย เครือญาติ ฯลฯ ซึ่งมีแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกแบบส่วนตัว
หรือไม่เป็นทางการ (informal หรือ personal) ใครที่ไม่คุ้นกับแนวความคิดสังคมวิทยา
ก็จะไม่เรียกสถาบันเหล่านี้ว่าเป็น “องค์การ”
เพราะเข้าใจหรือรู้จักองค์การในความหมายขององค์การระดับสองเท่านั้น
หากมองจากมุมของประวัติศาสตร์
สถาบันสังคมโบราณอาจจะมีแต่สังคมชั้นต้นเป็นส่วนใหญ่ ตามข้อเท็จจริงแล้ว
หากไม่นับวิวัฒนาการขององค์การในกองทัพ องค์การระดับสองโดยเฉพาะองค์การธุรกิจ
หรืออุตสาหกรรมที่แยกตัวออกไปจากธุรกิจครอบครัวเกิดขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
หลังจากสังคมนั้นๆ มีการปฏิวัติหรือพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งเริ่มขึ้นในสังคมสมัยใหม่
หรือในศตวรรษที่ 18 นี้เอง
และต้องตามให้ทันด้วยว่า
องค์การสมัยใหม่มีองค์ประกอบมากกว่ากลุ่มคนที่มีเป้าหมายการทำงานร่วมกัน
เพราะยังมีองค์ประกอบอื่น เช่น เครื่องไม้เครื่องมือ เครื่องจักร เทคโนโลยี ฯลฯ
จะเห็นได้ว่า หากเราจะพูดหรือเขียนภาษาไทยถึงคำว่า “organization” เราต้องพูดและเขียน “องค์การ” ไม่ใช่ “องค์กร”
🍄🍄🍄ลักษณะขององค์การ
1.
เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้
- กำหนดงานให้ชัดเจน มีการแบ่งงานกันทำ
สมาชิกในองค์การจะได้รับมอบหมายงานให้ทำงานตามความรู้
ความสามารถและความถนัดของแต่ละบุคคล
- มีสายบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันลงมา
มีสายการบังคับบัญชาเป็นชั้นๆ
ตั้งแต่ระดับระดับสูงสุดลงมาถึงระดับล่างสุดขององค์การ
- มีวัตถุประสงค์
องค์การต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน
เพื่อสมาชิกขององค์การจะได้ยึดถือเป็นแนวทางในการทำงาน
2. เป็นกลุ่มบุคคล
กลุ่มบุคคล
เกิดจากการรวมกลุ่มที่ถาวรเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ
ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันขนาดของกลุ่มเท่าใดขึ้นอยู่กับลักษณะของกิจการที่ทำ
3. เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการ
เนื่องจากองค์การจะมีปัจจัยต่างๆ ที่จะต้องใช้ในการจัดการ เช่น เงิน
วัสดุอุปกรณ์ รวมถึงคนด้วย ดังนั้น เพื่อให้มีการใช้ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ
จึงต้องมีความชัดเจนในการจัดองค์การ
4. เป็นกระบวนการ
เนื่องจากองค์การมีงานหรือกรรมวิธีต่างๆ
ซึ่งดำเนินต่อเนื่องกันไปจนสำเร็จลง ณ ระดับหนึ่ง
5. เป็นระบบ
ระบบเป็นการรวมสิ่งต่างๆ
ในองค์การที่มีลักษณะซํบซ้อนให้เข้าลำดับประสานกันเป็นอันเดียว ประกอบด้วย 3
ระบบใหญ่ๆ คือ ทรัพยากรที่ใช้ (Resource Input)
กระบวนการแปรรูป (Tranformation Process)และผลผลิต
(Product Output)
🍄🍄🍄ขอขอบคุณ http://www.teacher.ssru.ac.th/sawitree_ch/file.php/1/COC1101/powerpoint/OGC_C1.pdf
https://www.im2market.com/2016/05/16/3261
🍄🍄🍄สืบค้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2560